LINE : @UFAZEED
×

กฎ กติกา และกลยุทธ์แบล็คแจ็คสําหรับมือใหม่

แบล็คแจ็คเป็นเกมไพ่สนุกๆ ที่กําลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าคุณจะเริ่มเล่นครั้งแรกหรืออยู่ในระดับมือฉมัง ล้วนจําเป็นต้องเรียนรู้กฎ กลยุทธ์ และมีความเข้าใจพื้นฐานของการเล่นแบล็คแจ็คอย่างลึกซึ้ง เพื่อเพิ่มโอกาสทําเงินให้กับตนเอง

เว็บไซต์ UFAZeed ได้รวบรวมความรู้ทุกมิติในการเล่นแบล็คแจ็ค ตั้งแต่กฎกติกาพื้นฐาน กลยุทธ์ และคําแนะนําจากนักเล่นโปร มาไว้ในบทความชิ้นนี้ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถนําความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับการเล่นแบล็คแจ็คบน UFAZeed ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

กฎการเล่นแบล็คแจ็ค

แบล็คแจ็คเป็นเกมไพ่ที่นิยมมากที่สุดในบรรดาคาสิโนทั่วโลก ถึงแม้ว่าจะดูเป็นเรื่องง่ายในการนับคะแนนไพ่ แต่ความจริงแล้วเกมนี้ต้องอาศัยกลยุทธ์และการตัดสินใจ โดยวัตถุประสงค์ของเกมคือการได้มือไพ่ที่มีค่าสูงกว่าแต่ไม่เกิน 21 โดยค่าของไพ่คือ

  • ไพ่แจ็ค (J), ควีน (Q), คิง (K) = 10 คะแนน
  • ไพ่เอซ (A) นับได้ทั้ง 1 หรือ 11 คะแนน
  • ไพ่ 2-10 นับตามตัวเลขบนไพ่

เริ่มเกม ผู้เล่นและดีลเลอร์จะได้รับไพ่ 2 ใบ โดยไพ่ดีลเลอร์จะหงาย 1 ใบ หลังจากนั้น ผู้เล่นสามารถเลือกตัดสินใจดังนี้

  • ขอไพ่เพิ่ม (HIT) – รับไพ่เพิ่ม 1 ใบ
  • อยู่ (STAND) – หยุดที่มือปัจจุบัน
  • สองเท่า (DOUBLE DOWN) – เพิ่มเดิมพัน 2 เท่า แล้วรับไพ่อีก 1 ใบ
  • แตก (SPLIT) – แยกไพ่คู่ออกเป็น 2 มือ โดยใช้เดิมพันเดิม – ยอมแพ้ (SURRENDER) – สละครึ่งเดิมพันแล้วถอนตัวจากมือนั้น

หากผู้เล่นได้มือที่มีค่าเกิน 21 จะเรียกว่า BUST และจะแพ้มือนั้นโดยอัตโนมัติ

การนับคะแนนไพ่

การนับคะแนนไพ่ในแบล็คแจ็คจะใช้ค่ามาตรฐานของไพ่ ดังนี้

  • ไพ่แจ็ค ควีน คิง มีค่าเท่ากับ 10 คะแนน
  • ไพ่เอซ สามารถนับได้ทั้ง 1 หรือ 11 คะแนน ซึ่งจะเลือกใช้ค่าใดนั้นขึ้นอยู่กับมือของผู้เล่น
  • ไพ่ 2 – 10 จะนับตามตัวเลขบนไพ่

ผู้เล่นควรเลือกค่าไพ่เอซให้เหมาะสมกับมือ เพื่อให้ได้คะแนนรวมที่ใกล้เคียง 21 มากที่สุดโดยไม่เกิน ตัวอย่างเช่น

  • หากมือประกอบด้วย ไพ่ 5 และไพ่เอซ ควรนับไพ่เอซเป็น 11 คะแนน เพื่อให้ได้คะแนนรวม 16 คะแนน
  • แต่หากมือประกอบด้วย ไพ่ 8 และไพ่เอซ ควรนับไพ่เอซเป็น 1 คะแนน เพื่อให้ได้คะแนนรวม 9 คะแนน ซึ่งห่างจาก 21 น้อยกว่า

ด้วยวิธีนี้ ผู้เล่นจะสามารถควบคุมคะแนนของตนเองได้ และช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะ

ทางเลือกในการเล่น

นอกเหนือจากการขอไพ่เพิ่มหรืออยู่แล้ว ผู้เล่นแบล็คแจ็คยังมีทางเลือกอื่นๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้

– สองเท่า (DOUBLE DOWN) : เพิ่มเงินเดิมพันเป็นสองเท่า แล้วขอไพ่เพิ่มอีกเพียง 1 ใบ ซึ่งทําให้สามารถเพิ่มผลตอบแทนได้มาก แต่ก็เสี่ยงต่อการแตกด้วย

– แตก (SPLIT) : แยกไพ่คู่ ออกเป็น 2 มือ แล้วเล่นต่อเป็น 2 มือโดยใช้เดิมพันเท่ากับเดิมพันเริ่มต้น วิธีนี้จะได้โอกาสเล่นมากขึ้น

– ยอมแพ้ (SURRENDER) : สละครึ่งหนึ่งของเดิมพันเริ่มต้น แล้วถอนตัวออกจากมือนั้น ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายได้เมื่อมือของผู้เล่นแย่มาก

การแตกและชนะมือ

เมื่อผู้เล่นเลือกการตัดสินใจแล้ว ลำดับต่อไปคือการเปิดไพ่ของดีลเลอร์

หากมือของดีลเลอร์มีค่าน้อยกว่า 17 ดีลเลอร์จะต้องจั่วไพ่เพิ่มจนกว่าจะได้คะแนน 17 ขึ้นไป

หากมือของดีลเลอร์มีค่า 17 ขึ้นไป ดีลเลอร์จะต้องอยู่และไม่จั่วไพ่เพิ่มอีก

เมื่อดีลเลอร์เปิดไพ่เรียบร้อยแล้ว จะเปรียบเทียบคะแนนระหว่างผู้เล่นกับดีลเลอร์

  • หากมือของผู้เล่นสูงกว่าดีลเลอร์ แต่ไม่เกิน 21 ผู้เล่นจะชนะ
  • หากมือของดีลเลอร์สูงกว่าผู้เล่น แต่ไม่เกิน 21 ผู้เล่นจะแพ้
  • หากฝ่ายใดแตกโดยมีคะแนนเกิน 21 ฝ่ายนั้นจะแพ้โดยอัตโนมัติ

ในกรณีที่ทั้งผู้เล่นและดีลเลอร์มีคะแนนเท่ากัน จะเรียกว่าเสมอกัน ซึ่งผู้เล่นจะได้รับเงินเดิมพันคืน

การวางเดิมพันและโต๊ะแบล็คแจ็ค

แบล็คแจ็คเล่นโดยใช้โต๊ะขนาดกลางพร้อมที่นั่งสําหรับผู้เล่น 7 คน และดีลเลอร์ 1 คน ซึ่งผู้เล่นจะนั่งล้อมวงโต๊ะ การวางเดิมพันในแบล็คแจ็ค ทําได้ง่ายๆโดยการนําเงินชิปซึ่งเป็นตัวแทนของเงินสดมาวางบนช่องเดิมพันบนโต๊ะ โดยช่องเดิมพันจะมีขีดแบ่งไว้ เช่น หากต้องการเดิมพัน 50 บาท ก็ให้นําเงินชิปมูลค่า 50 บาท วางลงไปในช่อง

เมื่อจบเกมแต่ละมือ หากผู้เล่นชนะ ดีลเลอร์จะจ่ายเงินรางวัลให้เป็น 1 เท่าของจํานวนเงินเดิมพัน ส่วนหากผู้เล่นแพ้ ดีลเลอร์จะเก็บเงินเดิมพันนั้นไป ด้วยขั้นตอนง่ายๆ เช่นนี้ ผู้เล่นสามารถเพลิดเพลินไปกับการเสี่ยงโชคและตื่นเต้นกับการเดิมพันในเกมแบล็คแจ็คได้อย่างสนุกสนาน ทั้งยังมีโอกาสลุ้นรับเงินรางวัลก้อนโตกลับบ้านอีกด้วย

กลยุทธ์พื้นฐานในการเล่น

แม้ว่าแบล็คแจ็คจะมีองค์ประกอบของความโชคดีอยู่บ้าง แต่การใช้กลยุทธ์อย่างถูกต้องจะช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะได้อย่างมาก กลยุทธ์พื้นฐานในแบล็คแจ็ค คือกฎเกณฑ์ที่บอกแนวทางว่าควรตัดสินใจเลือก HIT, STAND, DOUBLE หรือ SPLIT แบบใดในแต่ละสถานการณ์ โดยพิจารณาจากคะแนนในมือของตนเองและไพ่หงายของดีลเลอร์

ตัวอย่างกลยุทธ์พื้นฐาน:

  • ถ้าผู้เล่นได้ 9 แต้ม ควรขอไพ่เพิ่มเสมอ
  • ถ้าผู้เล่นได้ 10 หรือ 11 แต้ม ควรขอไพ่เพิ่มก็ต่อเมื่อไพ่ดีลเลอร์เป็น 2-9 แต้ม
  • ถ้าผู้เล่นได้ 12 แต้ม ควร STAND ก็ต่อเมื่อไพ่ดีลเลอร์เป็น 4-6 แต้ม

การนํากลยุทธ์พื้นฐานมาใช้ จะช่วยลดโอกาสเสียความได้เปรียบให้กับบ้านคาสิโนได้เพียง 0.5% เท่านั้น จึงถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

ข้อดีของการเล่นออนไลน์

นอกจากความสะดวกสบายแล้ว แบล็คแจ็คออนไลน์ยังมีข้อดีอื่นๆ ที่ดึงดูดผู้เล่น ดังนี้

  • ความหลากหลายของเกม – เว็บไซต์คาสิโนมีเกมให้เลือกมากมายหลายร้อยเกม
  • โบนัสและโปรโมชั่น – มีโบนัสสมัครใหม่ หรือเติมเงิน รวมถึงโปรโมชั่นพิเศษต่างๆ
  • สามารถเล่นฟรีได้ – มีโหมดฝึกซ้อมให้ผู้เล่นได้ทดลองเล่นฟรี
  • ไม่มีแรงกดดัน – ผู้เล่นสามารถใช้เวลาคิดไตร่ตรองได้อย่างเต็มที่

ความแตกต่างระหว่างการเล่นออนไลน์และคาสิโนจริง

เนื่องจากแบล็คแจ็คเป็นเกมยอดนิยม จึงมีทั้งรูปแบบออนไลน์และคาสิโนจริงให้เลือกเล่น ข้อดีหลักของออนไลน์ คือ ความสะดวกในการเข้าถึงและเล่นได้ตลอด 24 ชั่วโมง ในขณะเดียวกัน คาสิโนจริงก็ยังคงมีบรรยากาศและความตื่นเต้นที่ไม่อาจหาได้จากการเล่นออนไลน์ ดังนั้นผู้เล่นควรพิจารณาเลือกให้เหมาะกับความชอบและความสะดวกของตนเองมากที่สุด

แบล็คแจ็คสดผ่านดีลเลอร์จริง

แบล็คแจ็คสด (LIVE BLACKJACK) เป็นรูปแบบการเล่นที่ใช้ดีลเลอร์คนจริงในการแจกไพ่ ผ่านการถ่ายทอดสดผ่านหน้าจอ ข้อดีของแบล็คแจ็คสด คือ ผู้เล่นจะได้สัมผัสบรรยากาศเสมือนจริง เหมือนนั่งเล่นที่คาสิโน ทําให้ตื่นเต้นและมีส่วนร่วมมากกว่าการเล่นแบบอัตโนมัติ อีกทั้งยังสามารถแชทสนทนากับดีลเลอร์และผู้เล่นคนอื่นๆ ได้อีกด้วย จึงเหมาะสําหรับผู้ที่ชื่นชอบบรรยากาศคาสิโนแบบดั้งเดิม

สรุป

แบล็คแจ็คเป็นเกมไพ่คลาสสิกที่มีส่วนผสมระหว่างกลยุทธ์และโชค โดยมีวัตถุประสงค์ในการได้คะแนนใกล้เคียง 21 มากที่สุด ไม่ว่าจะเลือกเล่นแบล็คแจ็คออนไลน์หรือที่คาสิโนจริง ผู้เล่นควรศึกษากฎ ทําความเข้าใจกลยุทธ์พื้นฐาน และเลือกใช้กลยุทธ์อย่างถูกต้องให้เหมาะกับสถานการณ์ ด้วยความรู้และทักษะเหล่านี้ จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถเอาชนะบ้านคาสิโนและได้รับชัยชนะในเกมแบล็คแจ็คได้ง่ายขึ้น